Delta E: ไขความลับเบื้องหลังความแม่นยำของสีบนจอภาพ

Delta E คือ ค่าพารามิเตอร์สำคัญในจอภาพ ที่ช่วยให้เราสามารถวัดและปรับแก้ความแตกต่างของสีได้ เพื่อให้ศิลปินและนักออกแบบสามารถสรรค์สร้างเฉดสีได้อย่างตรงใจตามจินตนาการ คู่มือฉบับสมบูรณ์นี้จะพาคุณเจาะลึกศัพท์เฉพาะทางเหล่านี้ Delta E คืออะไร? คำนวณอย่างไร? และเมื่อต้อง เลือกจอภาพสำหรับงานกราฟิกดีไซน์ ค่า Delta E ระดับใดจึงจะให้ภาพที่ดีที่สุด?

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

คุณสามารถมองเห็นความแตกต่างของสีได้จริงหรือ?

เมื่อเราพูดถึงสี เรามักจะเข้าใจว่า “สีน้ำเงิน” อาจเป็นเพียงหนึ่งในเฉดสีนับพัน แม้แต่ชื่อที่ดูเฉพาะเจาะจงขึ้นมาหน่อย เช่น สีฟ้าอมเขียว หรือ สีเขียวอมฟ้า ก็ยังมีความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แม้ภาษาและความทรงจำของคนเราอาจไม่สามารถจดจำชื่อสีได้นับพันเฉด แต่ดวงตาของเรากลับยังคงสามารถมองเห็นความแตกต่างเหล่านั้นได้ ศิลปินที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสีเพียงเล็กน้อยได้ และแม้ว่าความแตกต่างของสีเพียงเล็กน้อยบางครั้งอาจสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง แต่จะน่าตกใจมากหากคุณไม่ได้คาดหวังไว้ตั้งแต่แรก

ระบบอย่าง RGB และปริภูมิสีที่เกี่ยวข้อง เช่น Adobe RGB มีเป้าหมายเพื่อมอบคำอธิบายสีที่แม่นยำ แต่แม้เฉดสีที่แสดงจริงก็อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ เมื่องานศิลปะถูกส่งพิมพ์ไปทั่วประเทศ หรือแสดงบนหน้าจอในอีกซีกโลกหนึ่ง ศิลปินหรือนักออกแบบจำเป็นต้องแน่ใจว่า สีที่ใช้นั้นถูกต้องแม่นยำ นี่คือเหตุผลที่การทำความเข้าใจค่า Delta E จึงเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อคุณทำงานด้านการพิมพ์ ภาพถ่าย หรือศิลปะดิจิทัล

เหตุใดนักออกแบบและศิลปินจึงควรใส่ใจเกี่ยวกับ Delta E?

ศิลปินและนักออกแบบสามารถใช้โมเดลสีและพื้นที่สี เช่น CMYK หรือ Pantone เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานของพวกเขามีเฉดสีที่ต้องการอย่างแม่นยำ แต่หากจอภาพของพวกเขาไม่สามารถแสดงสีเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมา ก็อาจไม่เป็นไปตามที่ศิลปินคิด

Delta E ในการวัดสีคือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่รับรองว่าสีที่แสดงผลออกมานั้นถูกต้องแม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงในขั้นตอนสุดท้ายของการออกแบบ และทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะปรากฏเหมือนกับที่เห็นบนหน้าจอ ไม่ว่าจะแสดงในรูปแบบใดก็ตาม

Delta E ที่ดีพอสำหรับสีควรมีค่า เท่าไหร่?

ค่า Delta E ที่ต่ำกว่าย่อมดีกว่า แต่จุดสำคัญที่สายตามนุษย์สามารถเริ่มมองเห็นความแตกต่างของสีได้คือ Delta E ที่ 2.3 หากคุณสามารถรักษาระดับค่านี้ให้ต่ำกว่า 2.3 ได้ คุณก็มั่นใจได้ว่าสีบนหน้าจอของคุณตรงกับที่ผู้คนมองเห็น และจะไม่มีปัญหาเมื่อนำผลงานไปเผยแพร่ในสื่ออื่น

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างนี้ ลองสร้างภาพและระบายด้วยสี RGB แดง (255,0,0) และ (249,0,0) สีทั้งสองนี้มีค่า Delta E แตกต่างกัน 2.24 แต่แทบทุกคนจะมองว่าเป็นสีเดียวกัน ดังนั้น แม้ว่าหน้าจอที่ดีที่สุดอาจมีค่า Delta E ต่ำกว่า 1 แต่คุณก็สามารถวางใจได้กับจอภาพที่มีค่า Delta E ต่ำกว่า 2.3

Delta E ส่งผลต่อความแม่นยำของสีบนจอแสดงผลอย่างไร?

Delta E คือ การวัดความเที่ยงตรงของสี ซึ่งหมายความว่ายิ่งค่า Delta E ต่ำ ความถูกต้องของสีก็จะยิ่งสูง และนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมืออาชีพในสายงานสร้างสรรค์ ผู้ที่ใช้จอภาพเพื่อประมวลผลคำ (Word Processing) หรือทำงานกับสเปรดชีต (Spreadsheets) อาจไม่สังเกตเห็นความแตกต่างของสี หรืออาจเพียงแค่ปรับการตั้งค่าจอภาพเพื่อชดเชย แต่หากคุณกำลังสร้างงานศิลปะหรืองานออกแบบเพื่อนำไปใช้งานต่อ คุณจำเป็นต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณเห็นนั้นถูกต้องแม่นยำ แล้วค่า Delta E ที่ยอมรับได้สำหรับสีคือเท่าไร?

ค่าประมาณ 2.3 ซึ่งเป็นจุดที่ผู้คนอาจเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่าง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นี่

ค่า Delta E ต่ำ: มองเห็นสีที่แท้จริง

การใช้จอภาพที่มีค่า Delta E น้อยกว่า 2.3 ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบโดยตรงกับสีตัวอย่างแล้ว ผลลัพธ์ที่ปรากฏบนจอภาพจะยังคงปรากฏเป็นสีเดียวกันในสายตามนุษย์ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับมืออาชีพ เนื่องจากสีของภาพที่แสดงผลออกมาจะตรงกับความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์แบบในสายตาของผู้ใช้งาน

ค่า Delta E สูง: สีเพี้ยน และคุณภาพลดลง

เมื่อค่า Delta E เพิ่มขึ้นเกิน 2.3 จะเกิดความคลาดเคลื่อนของสีที่มองเห็นได้ ผลของความคลาดเคลื่อนเหล่านี้จะแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิน 2.3 เพียงเล็กน้อย บางคนอาจไม่สังเกตเห็นความแตกต่าง ในขณะที่บางคนอาจสังเกตเห็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในสีที่มนุษย์รับรู้ได้ดีเป็นพิเศษ เช่น สีเขียว

แต่เมื่อความแตกต่างของสี Delta E เพิ่มขึ้น ความคลาดเคลื่อนของสีก็จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ภาพจำลองแสดงให้เห็นว่าค่า Delta E ที่สูงขึ้นส่งผลต่อคุณภาพอย่างไร คุณอาจพอสังเกตเห็นความแตกต่างได้ในบริเวณที่มีค่า Delta E ประมาณ 3 แต่เมื่อพิจารณาบริเวณที่มีค่า Delta E อยู่ที่ประมาณ 5 จะเห็นความแตกต่างได้ทันทีและภาพจะดูไม่สดใสเท่าที่ควร

จอวาดภาพที่ดีที่สุด พร้อมความแม่นยำสีที่เหนือกว่า (Delta E ต่ำ)

แทนที่จะต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อปรับเทียบจอภาพ (Calibrate) ของคุณเพื่อให้ได้สีที่แม่นยำยิ่งขึ้น การเลือกใช้จอภาพที่มีค่า Delta E ต่ำ มาตั้งแต่ต้นจะช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก และให้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ ที่ XPPen เรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงและพัฒนาการแสดงผลสีของเมาส์ปากกา (Drawing Tablets) ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นี่คือสินค้าระดับพรีเมียมของเราที่คัดสรรมาเพื่อคุณ

Artist Pro 16 (Gen 2): ความแม่นยำสีเหนือระดับ (Delta E < 2.2) ที่มืออาชีพไว้วางใจ

XPPen Artist Pro 16 (Gen 2)

Artist Pro 16 (Gen 2) เป็นหนึ่งในสินค้าขายดีในหมู่นักออกแบบมืออาชีพ ด้วยความสมดุลระหว่างราคาที่เข้าถึงได้และประสิทธิภาพ ด้วยความแม่นยำของสี Delta E ที่ต่ำกว่า 2.2 คุณจึงมั่นใจได้ว่า สีสันที่คุณเห็นบนหน้าจอจะตรงกับความเป็นจริง จึงเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะอย่างยิ่งไม่ว่าคุณจะกำลังศึกษาด้านศิลปะและการออกแบบ ทำเป็นงานอดิเรก หรือเป็นนักออกแบบมืออาชีพก็ตาม

จอแสดงผลมีความละเอียด 2560 × 1600 WQXGA ให้รายละเอียดที่คมชัด และรองรับขอบเขตสีหลักๆ ทั้งหมด รวมถึง sRGB, Adobe RGB และ DCI-P3 นอกจากนี้ยังรองรับขอบเขตสีที่กำหนดเองของผู้ใช้ (Custom User Color Spaces) ได้อีกด้วยหากจำเป็น

หน้าจอเป็นแบบ Full Laminated (เคลือบเต็มพื้นที่) ช่วยป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดการเหลื่อมกันระหว่างปลายปากกากับเคอร์เซอร์ อีกทั้งยังรองรับแรงกดสูงสุด 16,384 ระดับ ทั้งหมดนี้ทำให้ Artist Pro 16 (Gen2) เป็นหนึ่งในแท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาด มอบความแม่นยำที่คุณต้องการเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดจากจอ X-Nature ที่แสดงผลสีได้อย่างเที่ยงตรงด้วยค่า Delta E ที่แม่นยำ

Artist Pro 19 (Gen 2): ภาพเสมือนจริงคมชัดทุกพิกเซล ด้วยค่า Delta E น้อยกว่า 1.5

XPPen Artist Pro 19 (Gen 2)

Artist Pro 19 (Gen 2) ไม่เพียงใหญ่ขึ้น แต่ยังแม่นยำกว่า เพื่อวิสัยทัศน์ที่ไร้ขีดจำกัด Artist Pro 19 (Gen 2) ไม่ได้มีแค่ขนาดที่ใหญ่กว่า Artist Pro 16 (Gen 2) เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาพร้อม ความแม่นยำที่เหนือกว่า ด้วยค่า Delta E ที่ต่ำกว่า 1.5 แม้แต่สายตาที่เฉียบคมที่สุดก็จะไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีบนหน้าจอได้
หน้าจอขนาดใหญ่ 19 นิ้ว มอบผืนผ้าใบที่กว้างขึ้นสำหรับการสร้างสรรค์ พร้อมความละเอียดสูงระดับ 4K การผสานกันนี้ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างแม่นยำเหลือเชื่อ แม้ไม่ต้องซูมภาพเข้าไปใกล้ๆ

รุ่นนี้ยังคงมาพร้อมคุณสมบัติพิเศษที่คุณจะพบได้เฉพาะในผลิตภัณฑ์ของ XPPen เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ปากกาแรงกด 16,384 ระดับ และดีไซน์ที่บางเฉียบเสมือนกระดาษ (One Paper Design) ทำให้การสร้างสรรค์เป็นเรื่องง่าย

นอกจากนี้ XPPen Artist Pro 19 (Gen 2) ยังมาพร้อมกับปากกาสไตลัสสองด้ามและรีโมท XP Wireless Shortcut Remote ที่สามารถปรับแต่งฟังก์ชันการทำงานได้ตามต้องการ อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ช่วยให้คุณควบคุมทุกสิ่งได้เพียงปลายนิ้ว

Artist Pro 19 (Gen 2) คือแท็บเล็ตระดับมืออาชีพที่มาพร้อมความแม่นยำของสี Delta E ที่สูงเป็นพิเศษ ด้วยการรองรับทุกขอบเขตสีหลักๆ ในตัว ไม่ว่าผลงานของคุณจะถูกนำไปแสดงบนหน้าจอทั่วไป บนป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ในหอศิลป์ หน้าจอแท็บเล็ตของคุณก็จะแสดงให้เห็นถึง ผลลัพธ์สุดท้ายที่แท้จริง ได้อย่างแม่นยำ

Artist Pro 24 (Gen 2) ซีรีส์: ความแม่นยำสีสมบูรณ์แบบ (Delta E < 1) พร้อมการรับรองจาก Calman

ซีรีส์ Artist Pro 24 (Gen 2) ไม่เพียงแต่เป็นแท็บเล็ตวาดภาพหน้าจอขนาดใหญ่ที่สุด ที่เรามีจำหน่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราที่มีเครื่องมือปรับเทียบฟรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง XPPen และ Calman
ซอฟต์แวร์ XPPen ColorMaster สามารถทำงานร่วมกับแท็บเล็ตได้อย่างสมบูรณ์แบบ มอบการปรับแต่งแบบเรียลไทม์ ทำให้คุณสามารถเห็นความแตกต่างได้ทันที และมั่นใจได้ว่า ค่า Delta E ของคุณจะยังคงต่ำกว่า 1 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าขีดความสามารถในการรับรู้ของสายตามนุษย์ได้อย่างปลอดภัย

แน่นอนว่าความแม่นยำของสี Delta E ที่ยอดเยี่ยมนั้นมาพร้อมกับแท็บเล็ตวาดภาพอันยอดเยี่ยม อันที่จริงแล้ว XPPen Artist Pro 24 (Gen 2) มาพร้อมกับจอวาดภาพให้เลือกสองรุ่น คือรุ่น 165Hz และรุ่น 4K

จอแสดงผลวาดภาพความเร็วสูง 165Hz ตัวแรกของโลก

เวอร์ชัน 2560 × 1440 165Hz โดดเด่นด้วยอัตราการรีเฟรชที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับแท็บเล็ตวาดภาพ โดยไม่มีภาพเบลอหรือกระพริบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างงานศิลปะหรือแอนิเมชั่น

XPPen Artist Pro 24 Gen2 165 Hz

จอวาดภาพ 4K UHD Luxie-vision คมชัดทุกรายละเอียด

หรืออีกทางหนึ่ง หากความละเอียดมีความสำคัญกับคุณมากกว่า หน้าจอ 16:9 ของรุ่น 4K จะมีความละเอียด 3840 × 2160 ที่ช่วยให้คุณสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างแม่นยำ

XPPen Artist Pro 24 Gen2 4K

ด้วยคุณสมบัติครบครันที่คุณคาดหวังได้จากผลิตภัณฑ์ระดับมืออาชีพของ XPPen หากคุณต้องการความแตกต่างของสี Delta E ที่ต่ำที่สุดเพื่อให้คุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานด้วยความแม่นยำสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ Artist Pro 24 (Gen 2) คือแท็บเล็ตที่คุณต้องการ

เครื่องมือทั่วไปในการวัด Delta E มีอะไรบ้าง?

แม้ว่าการทำความเข้าใจหลักการคำนวณค่า Delta E จะมีประโยชน์เนื่องจากช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์สีที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีเครื่องมือมากมายที่สามารถทำงานนี้แทนคุณได้

เครื่องวัดสี (Colorimeters)

เครื่องวัดสีได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับหน้าจอ โดยทั่วไปจะใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์เฉพาะเพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้บนหน้าจอจะมีความสม่ำเสมอ โดยจะวัดผลตรงจากหน้าจอของคุณ ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับแผนภูมิสี Delta E อ้างอิง เพื่อประเมินความแตกต่างและคำนวณค่า

เครื่องวัดสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ (Spectrophotometers)

เช่นเดียวกับเครื่องวัดสี เครื่องวัดสเปกโตรโฟโตมิเตอร์สามารถวัดหน้าจอได้ แต่ได้รับการออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์เกือบทุกอย่าง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการประเมินคุณภาพงานพิมพ์ นอกจากนี้ยังสามารถวัดความแตกต่างระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์และสีที่เหมาะสมได้ เช่น การตรวจสอบความสม่ำเสมอของงานพิมพ์แต่ละรอบ

เครื่องคิดเลขซอฟต์แวร์ (Software Calculators)

มีซอฟต์แวร์จากบริษัทอื่นหลายตัวที่สามารถใช้วิเคราะห์ค่า Delta E ได้ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังคงต้องใช้ฮาร์ดแวร์ในการวัดค่า แต่โดยทั่วไปแล้วซอฟต์แวร์เหล่านี้จะมีฟีเจอร์ต่างๆ มากกว่าซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมฮาร์ดแวร์ เช่น การรายงานและประวัติเพิ่มเติม รวมถึงเครื่องมือเพิ่มเติมสำหรับการปรับเทียบหน้าจอและจอภาพ ซึ่งทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับหลายๆ คน

เครื่องมือในตัว (Built-in Tools)

อุปกรณ์ระดับไฮเอนด์บางรุ่นมีระบบปรับเทียบสีในตัวเพื่อให้มั่นใจถึงความแม่นยำของสีระดับ Delta E XPPen Artist Pro (Gen 2) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ดังกล่าว และด้วยซอฟต์แวร์ XPPen ColorMaster ฟรี ก็สามารถให้การปรับเทียบสีที่ผ่านการรับรอง Calman ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้สีที่แม่นยำตามที่ต้องการอยู่เสมอ

Delta E คำนวณอย่างไร? มี 2 สูตร

คุณเคยสงสัยไหมว่าเราวัดการรับรู้สีของคนเราได้อย่างไร และเราเห็นสีเหล่านั้นได้แม่นยำเพียงใด?

วิธีที่ง่ายที่สุดในการคิดถึงความแตกต่างของสี Delta E คือการมองระยะห่างระหว่างสองสี คุณสามารถจินตนาการได้โดยการดูแผนที่สีแบบง่ายๆ โดยที่เฉดสีเดียวกันจะอยู่ใกล้เคียงกัน แต่สีอื่นจะอยู่ห่างกันมากขึ้น

ฟังดูเข้าใจง่ายขึ้นไหม? ยินดีด้วย! คุณเพิ่งเข้าใจแนวคิดหลักเบื้องหลังสูตร Delta E แรกแล้ว

สูตร Delta E ดั้งเดิมคิดค้นโดย Commission Internationale de l’Eclairage (CIE หรือในภาษาอังกฤษว่า International Commission on Illumination) ในปี 1976 ต่อมามีการพัฒนาสูตรต่างๆ ขึ้นมา แต่สูตรดั้งเดิมนั้นค่อนข้างเรียบง่าย:

รู้จักกันในชื่อ ΔE76 ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการคำนวณความแตกต่างของสี หากคุณสนใจคณิตศาสตร์ คุณอาจรู้จักสูตรนี้ในชื่อ สูตรระยะทางแบบยุคลิดในปริภูมิสามมิติ

พูดง่ายๆ ลองนึกภาพห้องที่มีแกนสามแกน ได้แก่ ความสว่าง (L), สีแดง-เขียว (a) และ สีเหลือง-น้ำเงิน (b) สูตร Delta E วัดระยะห่างระหว่างจุดสีสองจุดในพื้นที่นี้

เพื่อให้เจาะจงยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่พารามิเตอร์แต่ละตัวในสูตร ΔE76 แสดงถึง

  • L: ความสว่างของสี;
    • 0 คือสีดำสมบูรณ์แบบ
    • 100 คือสีขาวสมบูรณ์แบบ
  • a: สมดุลสีแดง-เขียว
    • 0 คือค่ากลาง
    • ค่าบวกคือสีแดง
    • ค่าลบคือสีเขียว
  • b: สมดุลสีเหลือง-น้ำเงิน
    • ค่าบวกจะเป็นสีเหลือง
    • ค่าลบจะเป็นสีน้ำเงิน
    • 0 คือค่ากลางอีกครั้ง

มีการปรับปรุงสูตรต่างๆ มากมาย ตัวอย่างเช่น ในปี 1994 ΔE94 ได้รับการเปิดตัว ตามมาด้วย ΔE2000 ในอีกหกปีต่อมา สูตรเหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ΔE2000 คือ

การปรับปรุงเหล่านี้ได้เพิ่มพารามิเตอร์ต่างๆ เพื่อนำ การรับรู้ของสายตามนุษย์มาคำนวณร่วมด้วย เนื่องจากมนุษย์เราไม่ได้รับรู้ความแตกต่างของสีได้อย่างสม่ำเสมอเท่ากันตลอดช่วงสเปกตรัมสี

นอกจากนี้ ขอบเขตสี (Color Space) ก็ส่งผลต่อค่า Delta E สุดท้ายเช่นกัน เพราะพิกัดสีที่ใช้ในการคำนวณนั้นไม่ได้จับคู่กันได้สมบูรณ์แบบในทุกขอบเขตสีเสมอไป XPPen จึงเลือกใช้ Adobe RGB’s ซึ่งเป็นขอบเขตสีที่กว้างกว่าและให้สีสันที่สดใสกว่า สำหรับการคำนวณค่า Delta E ของเรา เพราะการใช้ขอบเขตสีระดับมืออาชีพนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ถึงความแม่นยำของสีที่เที่ยงตรงสำหรับผู้ใช้งาน

ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ค่าความแตกต่างของสี Delta E ที่เป็นตัวเลขระหว่าง 0 ถึง 100 โดยที่ 0 คือสีที่ตรงกันอย่างสมบูรณ์แบบ และ 100 คือสีที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

หากคุณอาจมีข้อสงสัย

Delta E ≤ 3 ดีไหม?

ไม่มีวิธีที่แน่ชัดในการกำหนดว่าค่า Delta E ที่เหมาะสมสำหรับสีคือเท่าใด เมื่อใช้งานหน้าจอทั่วไป ค่า Delta E ที่น้อยกว่า 3 ก็อาจเพียงพอ แม้แต่ในงานศิลปะบางประเภท ที่การเปลี่ยนแปลงของสีเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหา ต่าเท่านี้ก็อาจเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม หากคุณทำงานใน ระดับมืออาชีพ แน่นอนว่า ต้องการค่า Delta E ที่ต่ำกว่านี้อย่างแน่นอน

นอกจาก Delta E แล้ว มีเมตริก (ค่าชี้วัด) อื่นๆ อะไรบ้างที่ควรพิจารณาในจอภาพสำหรับงานกราฟิกดีไซน์?

ความแม่นยำของสีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่คุณควรพิจารณา สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้

  • ช่วงสี (Color Gamut): งานแต่ละงานอาจต้องการช่วงสีที่แตกต่างกัน เช่น การใช้ Adobe RGB สำหรับงานพิมพ์ หรือ DCI-P3 สำหรับงานออกแบบที่เน้นไปที่หน้าจอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าจอของคุณมีช่วงสีที่คุณต้องการ
  • ความลึกบิต (Bit Depth): ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจอภาพของคุณมีความลึกบิตเพียงพอสำหรับงานที่คุณต้องการ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วปัญหานี้จะไม่ใช่ปัญหา แต่จอภาพรุ่นเก่าและราคาถูกกว่าอาจไม่มีความลึกที่คุณต้องการ

ตัวเลือกการปรับเทียบ (Calibration Options): เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในระยะยาว จำเป็นต้องปรับเทียบหน้าจอของคุณ บางรุ่น เช่น Artist Pro 24  (Gen 2) สามารถปรับเทียบได้เอง คุณจึงมั่นใจได้ว่าความแตกต่างของสี Delta E จะยังคงต่ำตลอดเวลาที่ใช้

ควรปรับเทียบจอภาพบ่อยแค่ไหน เพื่อรักษาระดับค่า Delta E ให้ต่ำอยู่เสมอ?

โดยทั่วไป ผู้ใช้มืออาชีพจำเป็นต้องปรับเทียบใหม่ทุก 1-3 เดือน แต่การปรับเทียบบ่อยก็ไม่ส่งผลเสียต่อจอภาพของคุณ อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการปรับเทียบจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับการใช้งาน และแม้แต่ปัจจัยแวดล้อม อ่านคู่มือของผู้ผลิตเพื่อศึกษารายละเอียด แต่หากคุณตรวจสอบการปรับเทียบบ่อยๆ คุณจะพบความถี่ที่เหมาะสมกับคุณได้อย่างรวดเร็ว

Delta E มีความสำคัญเพียงใดต่องานพิมพ์และงานบนหน้าจอ?

การทำงานพิมพ์และงานบนหน้าจอมีความท้าทายที่แตกต่างกัน แต่ความแม่นยำของสี Delta E มีความสำคัญสำหรับทั้งสองอย่าง

ในการพิมพ์ สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าฉบับพิมพ์สุดท้ายนั้นตรงกับงานของคุณอย่างแท้จริง แม้ว่างานสำหรับหน้าจออาจมีความคลาดเคลื่อนได้สูงกว่า แต่คุณยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การตรวจสอบให้แน่ใจว่างานพิมพ์ออกมาถูกต้องแม่นยำ หรือสีของแบรนด์สอดคล้องกับวัสดุอื่นๆ

บทความต้นฉบับ

https://www.xp-pen.com/blog/delta-e-color-accuracy.html

เปรียบเทียบรุ่น